Note: ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ได้มีการเปลี่ยนเกณฑ์การซื้อขายกองทุน RMF รวมถึงมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกลงทุนให้กับนักลงทุน โดยมีเงื่อนไขการได้รับลดหย่อนภาษี ดังนี้  (ช่วงเวลาคลิป 7:39) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF) ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท   กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) - กรณีซื้อ Thai ESG วันที่ 23 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2566 ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ - กรณีซื้อ Thai ESG ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีนับจากวันที่ซื้อ โดยสามารถติดตามเงื่อนไขในการซื้อหรือขาย RMF SSF และ Thai ESG ให้ชัดเจน เพื่อจะได้วางแผนภาษีให้ถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด ได้ที่กรมสรรพากร www.rd.go.th นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 1 ม.ค. 2566 เป็นต้นมา มีการเพิ่มจำนวนเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน โดยหากลูกจ้างทำงานตั้งแต่ 10 – 20 ปี จะได้รับเงินชดเชยฯ เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน แต่หากลูกจ้างทำงานตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป ก็จะได้รับเงินชดเชยฯ เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน (ช่วงเวลาคลิป 12:01) รวมถึงมีการปรับเกณฑ์ยกเว้นภาษีเงินชดเชยฯ เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างด้วย ดังนี้ เกณฑ์เดิม : ยกเว้นภาษีเงินชดเชยฯ ไม่เกิน 300 วันของค่าจ้าง และไม่เกิน 300,000 บาท เกณฑ์ใหม่ : ยกเว้นภาษีเงินชดเชยฯ ไม่เกิน 400 วันของค่าจ้าง และไม่เกิน 600,000 บาท โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมแรงงาน www.mol.go.th